วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ความทรงจำ


     ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นทำงาน ถ้าพวกเราสำรวจตัวเองในงานใหม่ จะรู้สึกเคอะเขิน ประหม่า ทำผิดทำถูก การที่จะหาคนทำทุกอย่างได้สมบูรณ์พร้อม ตั้งแต่เริ่มต้น คงมีคนจำนวนน้อยมาก หรือแทบจะไม่มี ถ้าตัวเราเอาความผิดพลาดต่างๆ มาเป็นบทเรียนสอนตนเอง และพร้อมที่จะยอมรับ ยอมปรับปรุงแก้ไข ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่สุดแล้ว ความสมบูรณ์จึงเกิดได้ ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่ที่การเรียนรู้และจดจำ พร้อมนำไปใช้ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง 

ความเชื่อมั่น ศรัทธา แล้วก็ทำ

       เมื่อผมมีความเชื่อมั่นว่างานนี้เป็นงานที่ให้โอกาสกับชีวิตของผมได้ ผมไม่ลังเลที่จะเริ่มต้นเอาจริงเอาจังกับชีวิตสักที โดยเริ่มฟังโค้ชของผมทุกคำที่ท่านสั่งสอน ท่านบอกผมหลายอย่างสำหรับงานนี้ ...ใช่แล้วครับ ธรรมชาติของงานนี้เป็นงานที่ต้องได้รับคำปฏิเสธจากคน คนที่ไม่ชอบประกันชีวิต...อาจจะเป็นเพราะอคติส่วนตัว หรือประสบการณ์ตรงที่เคยพบเห็น เรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์หลายๆอย่างก็ตาม ทำให้หลายคนไม่ชอบทั้งสินค้า และตัวแทน ทำให้งานนี้เป็นงานที่ต้องใช้สถิติมาเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ อย่างน้อยสถิติที่พวกเราชอบบอกต่อๆกันมา เป็นสถิติ 10:1 ความหมายของสถิติ 10 ต่อหนึ่งไม่ได้แปลว่า ไปพบคนที่ 1,2,3,4…..คนที่ 8,9 แล้วก็คนที่ 10 จะต้องซื้อแน่ๆ แต่หมายความว่าถ้าเราพบคนจำนวน 100 คน ความน่าจะเป็นสำหรับการขายได้ มีมากถึง 10 คน หรืออาจต้องขยายจำนวนคนที่ไปพบถึง 1,000 คน มีความเป็นไปได้ที่จะทำการขายได้แน่ๆ 100 คน ชัวร์ !! .....เอาล่ะซิ..แล้วใครเล่าจะยอมอดทนเจอคนให้ครบ 1,000 คน เพื่อที่จะขายได้สัก 100 รายล่ะครับ บางคนตายจากอาชีพนี้ไปตั้งแต่คนที่สอง คนที่สามที่ไปพบซะแล้ว เพราะเจอแรงกดดันหลายรูปแบบ ... “ไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือ ถึงมาหากินแบบนี้..., เฮ้ย ! งานนี้ ขายเพื่อนเสร็จ ขายญาติเสร็จแล้วจะไปขายใคร, คนที่เขามาก่อนเอ็ง เขายังไม่สำเร็จเลย เขาเลิกขายกันไปตั้งเยอะแล้ว ,นี่ถ้ามาทำก่อนหน้านี้..มีโอกาสสำเร็จนะ แต่มาตอนนี้ช้าไปต๋อย...,คุยเรื่องอื่นดีกว่านะขอร้อง อย่ามาคุยเลยเรื่องประกัน,ทำไปทำไม ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไรเลย เรายังแข็งแรงอยู่นะ ฯลฯ”



ผมก็ไม่ต่างกับคนอื่นๆหรอกครับ พอเริ่มทำงานอย่างจริงจังก็ถูกแรงเสียดทานต่างๆนานา หลายรูปแบบ แต่หนังสือที่อ่านมาหลายเล่ม จากหลากหลายผู้เขียน เริ่มสร้างภูมิต้านทานให้กับผมได้รู้ว่า ธรรมชาติของคนที่จะซื้อสินค้า ไม่ว่าเป็นสินค้าอะไร พวกเขาต้องมีคำปฏิเสธซะก่อน หากมีเวลาได้รับฟังสรรพคุณ ประโยชน์ ความสำคัญ ความจำเป็นที่ต้องมี ความจำเป็นที่ต้องใช้ จะทำให้เขามีโอกาสเปลี่ยนใจมาตอบรับได้ ไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นอะไร นั่นหมายถึงว่าตัวแทนต้องใช้เวลาทำความเข้าใจให้ผู้มุ่งหวังมากขึ้น โค้ชของผมคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ยังบอกอีกว่า ถ้าเรากำหนดค่าของงานที่ทำ โดยหนึ่งคนที่เรามีโอกาสพูดคุยด้วย มีค่าเท่ากับ 500 บาทเราอยากคุยกับคนวันละกี่คน ...น่าสนใจใช่ไหมครับสำหรับคนที่เราไปคุยด้วย จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ตาม..มีมูลค่าแห่งการพูดคุย 500 บาท ถ้าเป็นแบบนี้ผมคิดว่าใครๆก็อยากคุยด้วยซักวันละ 10 คน ทีนี้พวกเรามาทดลองเช็คเวลากันดูซิครับว่า ในความเป็นจริงพวกเรามีโอกาสพบผู้มุ่งหวังได้วันละกี่คน หากเราใช้เวลาเดินทางไปหาลูกค้าช่วงเช้า มีโอกาสพบผู้หวังได้สัก 2 คน เมื่อพักทานอาหารกลางวันแล้วค่อยไปต่อ ช่วงบ่ายได้พบผู้มุ่งหวังอีก 2 คน ตอนเย็นถึงค่ำอีกสักหนึ่งคน พวกเราก็ทำได้ประมาณ 5-6 คนต่อวัน แล้วต้องทำแบบนี้กี่วันในหนึ่งสัปดาห์ ....ทำทุกวัน ทำให้มีความสม่ำเสมอ ทำให้เป็นนิสัย ทำเหมือนกับที่เราต้องออกไปทำงานประจำแบบข้าราชการ หรืองานบริษัท และที่สำคัญงานนี้เป็นงานที่เราต้องใช้เวลา ต้องมีความอดทน รอคอยความสำเร็จ ความสำเร็จของงานนี้ไม่มีทางลัด คุณต้องเดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ และทำทีละอย่าง.... 



     ผมชอบประโยคนี้ครับ “กรุงโรมไม่ได้สร้างได้ในวันเดียว” ผมยึดติดความคิดนี้อยู่ในสมองตลอดเวลา ใช่แล้วครับ กว่าจะเป็นกรุงโรมได้ ไม่มีใครที่จะเสกให้เกิดขึ้นได้ภายในวันเดียว เหมือนเช่นอาลาดินกับตะเกียงวิเศษ เอามือถูๆกับตะเกียงแล้วก็มีเจ้ายักษ์โผล่ออกมา ถามว่านายจ๋าต้องการอะไรหรือนาย หากอยากได้เมืองสวยๆ อาณาจักรงามๆ เพียงชั่วข้ามคืน เจ้ายักษ์ก็เอามาให้ได้ แบบนี้มีแต่ในนิยาย ชีวิตจริงของคนเรา กว่าจะพบกับความสำเร็จแต่ละขั้น ต้องผ่านความทุ่มเท ผ่านความอดทน ผ่านความทุกข์ ความเจ็บปวดสารพัน ถ้าคุณจะสร้างกรุงโรม คุณต้องเอาอิฐแต่ละก้อนมาวางเรียงร้อยอย่างเป็นระเบียบ และวางรูปทรงต่างๆในแบบที่กำหนด เมื่อคุณจะสร้างชีวิตของคุณขึ้นมาใหม่ เราก็ต้องมาสร้างพิมพ์เขียวของชีวิตให้ได้กันซะก่อน การที่จะสร้างพิมพ์เขียวของชีวิต ก็เหมือนกับการทำพิมพ์เขียวของการสร้างบ้าน สร้างอาคารต่างๆ รูปแบบอาคารแบบไหนที่เราชอบ โดนใจของเรา ต้องการจะเพิ่มเติมอะไรบางอย่างเข้าไป เราก็สั่งให้สถาปนิกเพิ่มเติมเข้าไปได้ ....คนที่สำเร็จในงานประกันชีวิต มีมากจนเราเลือกได้ อยากสำเร็จแบบคนนั้น อยากสำเร็จแบบคนนี้ พวกเขามีแบบอย่างของการทำงานอย่างไร พวกเขามีวิธีการทำงานของเขาแบบไหน เราทำหน้าที่ก๊อปปี้วิธีการของเขามาทำบ้าง โอกาสของเราก็มีความเป็นไปได้ เช่นเดียวกับที่พวกเขาเป็นกัน


ผมได้ลาออกจากการรับราชการมาเรียบร้อยแล้ว เริ่มฟูลไทม์อย่างเต็มที่เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2535 ผมกำหนดระเบียบวินัยการทำงานของผมใหม่ โดยเริ่มจากการเข้าร่วมประชุมฟูลไทม์ในเช้าวันจันทร์ของสำนักงานคุณชูลักษณ์ แสงอุไรพร ที่มีการจัดประชุมเป็นประจำโดยไม่เคยขาด เข้าประชุมหน่วยทุกๆวันเสาร์ ผมเชื่อคำพูดของคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ ที่บอกว่ารีบพบคนให้ได้ 1,000 คนให้เร็วที่สุดภายในหนึ่งปีถ้าอยากสำเร็จเร็วๆ การพบคน1,000คนภายในหนึ่งปีที่มีจำนวน 365วันเฉลี่ยพบคนวันละ 1,000/365=2.74คนหรือเท่ากับ 3 คนต่อวัน แต่ผมต้องการพบคนขั้นต่ำ 5 คนต่อวันแบบนี้ผมต้องสำเร็จแน่นอน โอ้โห!! ความสำเร็จอยู่ใกล้แค่เอื้อมจริงๆ ...



เมื่อวันที่พวกเราไม่ได้ทำงานประจำเหมือนปกติ หลายคนคงคิดว่า สบายล่ะซิ ไม่ต้องรีบตื่นเช้าเหมือนแต่ก่อน ตื่นสายๆก็ได้ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาต่อว่าเราได้ ... ผิดถนัดเลยครับ ก่อนหน้านี้ผมทำงานรับราชการ เป็นลูกน้องทำงานตามคำสั่ง ทำตามหน้าที่ ทุกวันมีข้อกำหนดของงานที่ให้ทำไล่เรียงไปตามลำดับ 1,2,3 พอมาถึงวันนี้ ผมพบกับความเป็นอิสระในเรื่องเวลา ไม่มีใครมาสั่งงานผมอีกต่อไป ไม่มีใครมากำหนดลำดับความสำคัญของงาน 1,2,3….ให้กับผมอีกแล้ว ทุกๆอย่างของชีวิต นับจากวันนี้ ผมเป็นคนกำหนดอนาคตของตนเอง บนเส้นทางเดินที่มีอยู่สองทางเลือก ทางเลือกที่จะ....หนึ่ง...ทางเลือกของความสำเร็จ ....สอง...ทางเลือกของความล้มเหลว โดยคุณต้องตอบตัวเองให้ได้ว่า คุณตัดสินใจลาออกมาจากการรับราชการ มาเพื่ออะไร มาเพื่อความล้มเหลวเช่นนั้นหรือ ? ถ้ามาเพื่อสิ่งนี้ ผมคิดว่าคงไม่มีใครบ้า ที่จะลาออกมาเพื่อให้ถูกผู้คนเยาะหยันแน่ 



   ใช่แล้วครับ การลาออกมาก็เพื่อแสวงหาความสำเร็จ ไม่ใช่หรือ ถ้าใช่ คนสำเร็จเขาต้องทำงานกันอย่างไร ...ฟังใครมาก็ไม่รู้ เขาบอกว่าให้ผลักตัวเองออกไปจากบ้านให้ได้ตั้งแต่เช้า ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะไปทางไหน ไปหาใคร ขอแค่ขับรถออกไปจากบ้านก่อนก็แล้วกัน เมื่อคุณออกไปข้างนอก บรรยากาศจะทำให้คุณคิดออกว่าจะไปทางไหนดี เออ...จริงซินะ ทาง...เริ่มต้นจากที่ ที่ไม่มีทาง ผมเป็นคนหนึ่งที่ผลักตัวเองออกจากบ้านเพื่อไปพบใครก็ได้ที่ตัวเองไม่มีนัดเอาไว้ก่อน ในวันที่ช่องของช่วงเวลาวันนั้นว่าง เพราะตัวแทนใหม่ที่อ่อนต่อโลกภายนอก โลกของการทำธุรกิจ ยังไม่มีความชำนาญมากพอที่จะพลิกแพลงรูปแบบของการทำงานได้ แต่ผมก็รู้ว่าบนถนนที่ผมกำลังขับรถออกไปนี้ น่าจะผ่านถนนสายไหนได้บ้าง และถนนที่ว่านี้ น่าจะมีใครสักคน ที่เป็นคนที่ผมรู้จัก อาจจะเป็นญาติ เป็นเพื่อน หรือพี่น้องที่คุ้นเคย หรือคนที่เคยเรียนหนังสือมาด้วยกัน คนที่เคยทำงานมาในอดีต หรือคนที่เราเคยไปช่วยงานบุญ งานบวช งานแต่ง สารพัดที่จะนึกขึ้นมาได้ บางทีก็น่าจะเป็นญาติของญาติ ก็ต้องลองขับรถไปแวะหาดู อย่างน้อยการไปหาพวกเขา ก็เป็นการเปิดตัวว่าผมกำลังทำอะไร ผมมีเส้นทางชีวิตใหม่ในการทำงานที่พวกเขาจะเลือกให้ความไว้วางใจกับผมได้บ้างในงานประกันชีวิต


ผมถูกสอนให้ใช้เครื่องมือบันทึกการทำงาน เพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของสถิติต่างๆ เพื่อดูพัฒนาการของตนเอง เริ่มจากการใช้ Weekly Report การทำงานประจำสัปดาห์ ที่มีลักษณะเป็นแผ่นพับเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ ถึงวันอาทิตย์ แต่ละวันมีช่องเวลาทำงาน เริ่มตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำให้ผมเขียนตารางเวลาต่างๆ อย่างเป็นระบบ เช่นวันจันทร์ฟูลไทม์ เวลา 09.00-12.00 น.เมื่อผมกำหนดเวลาที่ต้องเข้าประชุมเพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากวิทยากร รุ่นพี่ และผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมาแบ่งปันความรู้ให้กับพวกเรา หากลูกค้าหรือใครจะมาขอนัดหมายกับผมในวัน เวลานี้ ผมจะไม่ยอมให้เวลาช่วงนี้กับใครทั้งนั้น ส่วนวันเวลาที่เหลือ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมก็ใช้เวลาหลังการประชุมฟูลไทม์ เริ่มโทร.นัดหมายผู้มุ่งหวัง ได้วันใด ก็ให้กำหนดเข้าไปในช่องของวันที่นัดหมายได้ จนมีความเป็นไปได้ที่จะเริ่มทำงานในวันต่อไป แล้วก็มาตรวจสอบดูว่า ในช่วงวันเวลา ที่ว่าง ก่อนถึงเวลานัดหมายรายใด เช่น นัดลูกค้าอยู่ที่บางแคหนึ่งรายในบ่ายวันพฤหัสบดี เมื่อตรวจสอบในช่วงเวลาเช้าไม่มีนัดหมายใดๆ ที่กำหนดไว้ ผมก็มาตรวจหาผู้มุ่งหวังที่อยู่ในเขตใกล้เคียง เช่นปทุมธานี นนทบุรี แล้วก็สุ่มเสี่ยงที่จะเข้าพบ สามารถกำหนดรายชื่อใหม่ขึ้นมาได้ โดยที่ผู้มุ่งหวังที่ผมจะเข้าพบนั้น ไม่มีหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ หรือบอกเล่าการนัดหมายได้ คงใช้วิธีการทำงานแบบเข้าพบตามช่วงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งควรจะมีผู้มุ่งหวังสำรองไว้สักหนึ่งหรือสองราย เผื่อว่าเมื่อตั้งใจไปพบ แล้วไม่มีใครอยู่ที่บ้านของผู้มุ่งหวังเลย จะทำให้การทำงานในวันนั้นสูญเสียไป เสียค่าใช้จ่ายไปเปล่าๆ เมื่อเราได้กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจแบบเจ้าของคนเดียว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องบริหารเวลา ค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม และมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เกิดงานใหม่ขึ้นมาให้ได้ ในทางใดทางหนึ่ง .... ทุกกิจกรรมที่เราได้ทำขึ้นมาในแต่ละวัน จะนำไปลงในรายการของแผ่นพับ Weekly Report พร้อมด้วยเครื่องมืออีกชิ้นหนึ่ง คือการ์ด 20 คะแนนต่อวัน ที่ผมต้องให้คะแนนทุกวัน สำหรับการทำงานอย่างชัดเจน การเก็บข้อมูลใบร่างสำหรับการนำเสนอขาย ใช้ทุกครั้งกับทุกๆคนที่เปิดการขาย โดยข้อมูลที่ผมได้รับจากการเข้าพบ ทั้งตอบรับและไม่ตอบรับ จะนำไปสู่ระบบการติดตาม ส่งข่าวสาร การ์ดแสดงความยินดี การ์ดวันเกิด หรือวันครบรอบการแต่งงาน รวมทั้งการ์ดแนะนำรายชื่อผู้มุ่งหวังรายใหม่ที่ผู้มุ่งหวังของผม จะส่งมอบรายชื่อเพื่อนๆ ญาติหรือบุคคลที่เขาเห็นว่าควรมีสวัสดิการดีๆที่ตัวแทนจะได้ไปนำเสนอ
ทุกเครื่องมือที่พวกเราได้ใช้จดข้อมูลต่างๆ นำไปประกอบการพิจารณาดูค่าเฉลี่ยของธุรกิจที่ผมได้ทำไปแต่ละช่วงสัปดาห์ แต่ละเดือน ทำให้ผมได้ค้นพบว่า มูลค่าของการพบปะพูดคุยกับผู้มุ่งหวัง ทั้งที่มีการตอบรับและไม่ตอบรับ ขยับมูลค่าเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ย 500 บาทต่อการนั่งพูดคุยกับผู้มุ่งหวังหนึ่งคน ค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 700 บาทต่อคน และมากขึ้นตามศักยภาพการทำงานของผมที่มีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา



เมื่อผมมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ เป็นเรื่องของความถูกต้องที่ควรค่าต่อการทุ่มเท เพราะคนทุกๆคนบนโลกใบนี้ มีความรัก ความห่วงใย ความหวงแหน ความกังวล ในเรื่องเหล่านี้...ถ้าพวกเขามีครอบครัว เขาจะต้องห่วงใยครอบครัวของเขา มีความรักให้กับทุกๆคนในครอบครัว อยากเห็นครอบครัวมีความสุข ในเรื่องความเป็นอยู่ อาหารการกิน ความสะดวกสบายต่างๆ ที่ควรจะมีความเป็นไปได้ ทั้งในวันที่หัวหน้าครอบครัว ผู้เป็นเสาหลักในการสร้างรายได้ยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้กระทั่งวันที่หัวหน้าครอบครัวต้องจากไป ผู้นำของครอบครัวที่มีความรัก ความห่วงใย จะมองเห็นความสำคัญของการประกันชีวิต เพราะหลักประกันชีวิตที่หัวหน้าครอบครัวได้ตัดสินใจสร้างขึ้นไว้ เป็นจำนวนเงินที่มีมูลค่ามากพอ ทำให้ครอบครัวของเขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ อย่างมีความสุขตลอดไป ถ้าจะหันไปมองทางด้านคนโสด ดูเหมือนว่า ความเป็นคนโสด ไม่มีเรื่องใดๆมาทำให้ตนเองต้องรับผิดชอบ คนโสดบางคนอาจมองไม่เห็นความสำคัญสำหรับเงินที่ควรเก็บออมเอาไว้ใช้ข้างหน้า ชอบคิดไปว่าเฉพาะคนที่มีครอบครัวเท่านั้นที่มีภาระรับผิดชอบ จนลืมมองดูตนเอง คนโสดที่เข้าใจว่าตนเองมีความอิสระ ตัวคนเดียว เป็นอะไรไปก็ไม่มีใครเดือดร้อน มาลองพิจารณากันดูสักนิดซิครับว่า คนโสดจริงๆ ถ้ามีชีวิตยืนยาวไปจนถึงวันเกษียณอายุ ไม่มีใครจ้างงาน รายได้ที่เคยมีเข้ามาเป็นประจำขาดหายไป แต่ชีวิตยังมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสี่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ต้องใช้เงินซื้อหามาทั้งสิ้น หากเงินเก็บที่มีอยู่ มีไม่มากพอ เพราะขาดการวางแผนออมเงินมาตั้งแต่วัยทำงาน หรือมีเงินที่เก็บไว้ส่วนหนึ่งบ้าง มีบางครั้งในช่วงจังหวะเวลาของชีวิต เกิดมีสิ่งยั่วยวนทางใจระหว่างเส้นทางการออมเงิน นำเงินที่ตั้งใจเก็บไว้ มาใช้จ่ายไปก่อนบ้าง เมื่อถึงเวลาจำเป็นของวัยที่ต้องใช้เงินของตนเองขึ้นมา อาจมีเหลือไว้ไม่มาก เราจะทำอย่างไรกับตนเองในเวลานั้น สิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้ หลังวัยเกษียณของพวกเรา อายุที่มากขึ้น ปัญหาสุขภาพย่อมเกิดตามมา ค่ารักษาพยาบาลต่างๆ ทุกวันนี้ มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากๆ  ถ้าเกิดเป็นโรคบางอย่าง ที่ต้องใช้เงินรักษาเป็นเงินจำนวนมาก แม้แต่คนที่มีฐานะดีๆบางคน ก็ไม่สามารถที่จะยื้อชีวิตของตนเองไว้ได้ ทั้งๆที่มีเงินจ่ายให้กับการรักษาตัวในครั้งนั้นๆ ด้วยแพทย์ที่มีฝีมือดีๆ นั่นหมายถึงว่า คนโสดที่ขาดวินัยการเก็บออม ในบั้นปลายของชีวิตจะต้องพบกับปัญหาหลายด้าน การประกันชีวิตช่วยให้คนโสดเก็บออมเงินไว้อย่างเป็นระบบ เก็บเพื่อเก็บ ไม่ใช่เก็บเพื่อใช้ และด้วยความรัก ความห่วงใย ความผูกพันต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญให้งานประกันชีวิต เป็นงานที่ได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากมาย ได้ตระหนักรู้ว่า ควรจัดการแบ่งปันเงินส่วนหนึ่ง ประมาณ 10% ของรายได้ทั้งปี มาสร้างความคุ้มครองไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อป้องกันการสูญเสียรายได้ของครอบครัวในวันที่ความสามารถในการหารายได้ของหัวหน้าครอบครัวยุติลง หรือสร้างบัญชีการออมเงินไว้ให้ตนเองได้ใช้ในวันเกษียณอายุ  รูปแบบกรมธรรม์เหล่านี้ เป็นการแสดงถึงความรักของหัวหน้าครอบครัวที่มีต่อครอบครัวตนเอง คนโสดที่มีความรักตนเอง ต้องการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีความสุข และเจ้าของธุรกิจ ที่ต้องการให้ธุรกิจของตนเอง สามารถส่งต่อให้กับทายาทได้ทำการบริหารในโอกาสต่อไป 


งานของผมจึงเป็นงานที่ผมมีความปรารถนาจะไปพบกับคนที่ผมรู้จัก เช่น ญาติ เพื่อน พี่น้อง ทุกๆ แห่งที่ผมนึกได้ จัดการนำรายชื่อไปสู่แผนการปฏิบัติงาน โทรนัดและเข้าพบ เพื่อทำหน้าที่ชี้ประเด็นปัญหาเฉพาะ หรือปัญหาทั่วไปให้กับผู้คนได้รับรู้ พร้อมช่วยให้พวกเขาได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ แล้วการบอกต่อก็เกิดขึ้น ใช่แล้วครับ การแนะนำแบบปากต่อปาก ทำให้วิถีชีวิตของผมสำหรับการเดินทางจึงเปลี่ยนไป ตามแต่สายลมแห่งโชคชะตาจะพัดพาไปในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ เดือน ปี ผมไปทุกที่ ที่มีโอกาสใหม่ๆ ผมไปเพราะใครบางคนให้โอกาสในการทำงาน จนบางครั้งผมต้องแสวงหาโอกาสใหม่ๆ สำหรับการทำงาน เช่นการออกพบคนแปลกหน้า การออกไปสำรวจตลาด ความคิดเห็นของผู้คนที่มีทัศนต่างๆ เกี่ยวกับการประกันชีวิต ผมเดินตลาดสดยามเช้า แหล่งชุมชนที่มีผู้คนมาทำการจับจ่ายใช้สอย สถานที่ก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีวิศวกร ผู้รับเหมาจำนวนมาก หัวหน้าคนงานต่างๆ ที่มีความเสี่ยง ถนนแต่ละสายที่มีผู้ประกอบกิจการ ผมเข้าไปแนะนำตนเองให้รู้จักด้วยนามบัตรของตัวแทนประกันชีวิต ผมสร้างความสัมพันธ์จากการพูดคุย สอบถามความคิดเห็น รับฟังปัญหาที่พวกเขาเคยพบ เคยรับรู้ บางคนเข็ดขยาด เบื่อ แต่บางคนชื่นชม ชอบ และยกย่องแนวทางการประกันชีวิต ที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย ยามมีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ต้องใช้เงิน ระบบประกันภัยช่วยพวกเขาได้ ผมได้มีโอกาสรับฟังปัญหาสารพัด สารพัน ผมนำสิ่งเหล่านี้มาพูดคุย แนะนำให้ผู้บริหารรับทราบแนวทาง เพื่อปรับปรุงระบบการทำงาน และผมเรียนรู้ที่จะปรับปรุงและพัฒนาตนเอง เพื่อให้เป็นตัวแทนในดวงใจของลูกค้า

    ผมเองและเพื่อนร่วมงาน เคยแยกกันเดินตลาดคนละฟากถนนสายหนึ่ง มีโอกาสเจอลูกค้าของบริษัทของพวกเรา แล้วไม่มีความสุขมากนักต่อกรมธรรม์ที่เคยถือไว้ เมื่อเห็นว่าพวกเรามีความพร้อมในการให้บริการจึงเปิดใจรับฟัง ทำให้มีการขายใหม่เกิดขึ้น ในเวลาต่อมาลูกค้าท่านนี้ ได้เพิ่มเติมกรมธรรม์ใหม่อีกหลายฉบับ รวมทั้งญาติ เพื่อน พี่น้องอีกมากมาย แม้แต่วันที่ผมมีโอกาสขึ้นบ้านใหม่ ทั้งการตกแต่ง ต่อเติม ก็มาช่วยทำให้ พร้อมมอบของขวัญเป็นสร้อยคอทองคำให้กับผมอีกด้วย ถ้าจะถามราคาเป็นจำนวนเงินเท่าไรนั้น ผมไม่อยากประเมินสิ่งเหล่านี้เป็นตัวเงิน เพราะความสัมพันธ์ที่พวกเรามีให้กันและกันมีคุณค่ามหาศาล และติดตรึงอยู่ในหัวใจของพวกเราอย่างยาวนาน แม้ไม่ใช่ญาติก็สนิทยิ่งกว่าญาติ ไม่ใช่เพื่อนแต่พวกเราก็ผูกพันกันตลอดไป ผมเดินตลาดแบบนี้บ่อยมากจนเกือบเป็นประจำ 



  ผมมีความคิดที่นำไปเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตการเป็นทหารว่า ขนาดเราอยู่ใกล้ความตาย เรายังไม่กลัวตาย และผมเองเคยอยากตายในสนามรบ เพื่อให้สมศักดิ์ศรีชายชาติทหารที่กล่าวปฏิญาณตนว่า “ตายในสนามรบ เป็นเกียรติของทหาร.., ตายเสียดีกว่าที่จะละทิ้งหน้าที่” นี่ผมเพียงแค่ไปพบผู้มุ่งหวัง เขาไม่ทำ เขาปฏิเสธ เขาไม่เห็นด้วย เขาต่อว่าเรื่องนั่นเรื่องนี่ ไม่มีอันตรายอะไรที่รุนแรงทำให้ผมต้องตายได้ เพียงแค่นี้เอง...งานง่ายๆ ง่ายกว่าการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายที่ชายแดนตั้งเยอะ...ผมจัดตารางการทำงานในแต่ละสัปดาห์ หารายชื่อที่นัดหมายมาลงใน Weekly Plan ผมกำหนดวันพฤหัสบดีของสัปดาห์มาพบกับตัวแทนคนอื่นๆ แล้วจับคู่บัดดี้ออกทำงานภาคสนาม สร้างเสริมพัฒนาการของการทำงาน การขยายตลาดต่างๆ ทำให้ผลงานในปีที่สอง มีผลงาน 78 ราย สร้างรายได้ 468,031 บาท และในปีต่อมา สร้างผลงานอีก 72 ราย สร้างรายได้ 661,938 บาท



ผมเรียนรู้หลายๆอย่างไปพร้อมกัน ผมเห็นความสำคัญของการเรียนรู้ ผมให้เวลาสำหรับการประชุมทุกครั้งที่สำนักงานจัดหามาให้ เช่น สโมสรฟูลไทม์ มีทุกวันจันทร์ สโมสรบ่ายวันเสาร์ มีทุกวันเสาร์ สโมสรสตาร์ 24 มีเดือนละ 1 ครั้ง สโมสรของเครือมีทุกเดือนๆละครั้ง ในวันพุธ สโมสรพรีซุป วันพฤหัสบดี เดือนละครั้ง ผมไม่เคยขาดการประชุมแต่ละครั้ง แต่ละกิจกรรม ทุกๆโอกาสผมยึดหลักที่ว่า “ความรู้ทำให้คนองอาจ” “นกไม่มีขน คนไม่มีความรู้ บินสู่ที่สูงไม่ได้” ผมเรียนรู้ทุกอย่างในห้องประชุม ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบครบการประชุม ผมไม่ชอบลุกออกจากห้องประชุมถ้าไม่จำเป็น เพราะทุกช่วงจังหวะของการประชุม อาจมีแนวคิดดีๆ จากใครบางคน ที่เขาตั้งใจเอามาฝาก แล้วเขากำลังจะบอกกับเรา ขอเพียงแค่ตั้งใจฟังให้ดี แล้วอย่าลืมจดหลักการ วิธีการเหล่านั้น เพราะการจดดีกว่าจำ แล้วก็นำไปใช้ .....บางครั้ง ระหว่างการรับฟังการบรรยาย แนวคิดดีๆบางประเด็น ทำให้ผมเห็นภาพอื่นหรือแนวความคิดอื่นๆ ที่ซ้อนขึ้นมาในความคิด กลายเป็นแนวคิดใหม่แบบผสมผสาน ผมก็ไม่ละเลยที่จะรีบฉกฉวยช่วงเวลาดีๆ เหล่านี้ เขียนลงไปในสมุดบันทึกที่ผมพกติดตัวตลอดเวลา ผมรู้ว่าทุกอย่างที่ผมกำลังศึกษาอยู่นี้ กำลังเก็บเข้าไปในความทรงจำ เพื่อนำไปใช้ในวันข้างหน้า เสมือนหนึ่งผมกำลังเก็บข้อมูลแต่ละเรื่องเข้าสู่ระบบไฟล์ริ่งในแฟ้มๆหนึ่ง ใส่เข้าไปในลิ้นชักแต่ละชั้น ในตู้เหล็กใบใหญ่ที่มีเรื่องราวมากมาย แล้ววันหนึ่งในวันข้างหน้า ผมจะหยิบมันมาใช้ได้ เพียงแค่เสี้ยววินาที ด้วยระบบสมองที่มีความเป็นอัจฉริยะของความเป็นมนุษย์ นั่นเป็นเรื่องที่น่าทึ่งใช่ไหมครับ? นอกจากการเรียนรู้ในห้องประชุม ผมชอบใช้เวลาส่วนหนึ่งไปที่ศูนย์การค้า และเข้าไปร้านหนังสือ ผมใช้เวลาค่อนข้างมากในการเลือกหาหนังสือ เปิดดูเนื้อหาบางอย่าง ถ้าเป็นเรื่องที่ดีและผมคิดว่ามีประโยชน์กับการขาย การบริหาร การสร้างความสัมพันธ์ ฯลฯ ผมจะซื้อทันที โดยผมจัดงบประมาณสำหรับการซื้อหนังสือดีๆเหล่านี้ไว้เสมอ ผมมีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารรุ่นพี่ คุณสุรชัย เลิศสัตการ เป็นนักอ่านรุ่นพี่ ที่เราสองคนมักพูดคุยแลกเปลี่ยนชื่อหนังสือที่พวกเราได้ซื้อมา โดยคุณสุรชัยเคยบอกผมว่า หนังสือที่มีในวันนี้ถ้าซื้อได้ควรซื้อไว้ เพราะวันข้างหน้าราคาจะเปลี่ยนไปมาก และบางทีบางเล่มอาจไม่มีในตลาด พวกเราที่เป็นหนอนหนังสือด้วยกัน จึงหาโอกาสรวบรวมหนังสือดี มีคุณค่ามาเก็บไว้เป็นสมบัติของตนเองตามกำลังทรัพย์ที่จะจัดการได้

ผมโชคดีมีเจ้านายใจดีอย่างคุณธารินทร์ นันทาภิรักษ์ ที่มีความเป็นครู ความเป็นสุภาพบุรุษ มีเมตตาต่อลูกน้องและผู้คนรอบข้าง เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ท่านได้ให้ความรู้ ให้โอกาส รวมทั้งปัจจัยต่างๆ ที่ผลักดันให้แต่ละคนได้เดินไปข้างหน้า ทุกครั้งที่ท่านสอน ท่านตอกย้ำในเรื่องแนวคิด วิธีการ ให้ทำการฝึกฝน ครั้งแล้วครั้งเล่า ความเพียรพยายามของท่าน พวกเราไม่เคยเห็นท่านเหนื่อยต่อการทำหน้าที่ ท่านเคยบอกว่า “ผมจะไม่เลิกรา จนกว่าพวกเราจะสำเร็จกันทุกคน” จริงซินะ ถ้าพวกเราไม่ยอมสำเร็จให้ท่านเห็น เราควรจะถูกเรียกว่า เป็นลูกที่ดีได้อย่างไร .....ผมเรียนรู้กระบวนการต่างๆ จากท่านตั้งแต่วันแรกที่ผมเป็นตัวแทนประกันชีวิต จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมกำลังเป็นพรีซุปในปีบัญชี 2536 ใช่แล้วครับปีนี้เป็นปีที่ผมมีโอกาสจะได้แสดงฝีมือ แสดงพลังของการทำงาน แสดงศักยภาพของตนเองออกมาให้ปรากฏ เป็นภาพฝันของผมตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจในครั้งที่สองของการเดินเข้ามาในถนนสายการประกันชีวิตนี้ว่า ถ้าผมกลับเข้ามาเป็นตัวแทนประกันชีวิตอีกครั้งหนึ่ง  ผมต้องสร้างความสำเร็จให้ยิ่งใหญ่ ทำงานตามกฎ ตามระเบียบที่วางไว้เป็นแนวทางปฏิบัติ สำหรับตัวแทนทุกคนที่ต้องการความก้าวหน้าในอาชีพนี้ ต้องใช้เวลาในการเป็นตัวแทน 3 ปี มีค่านายหน้ารวมกันเท่ากับ 900,000 บาท (เก้าแสนบาทถ้วน) การนับเวลา 3 ปีนี้ถ้าค่านายหน้ารวมกันแล้วไม่ครบ900,000 บาท ต้องไปเริ่มทำงานในปีบัญชีใหม่ ผลงานปีแรกสุดที่เคยทำไว้ ตัวเลขที่มีอยู่ไม่ว่ามากหรือน้อยจะหายไปไม่ถูกนำมาคิดให้  ผมใฝ่ฝันที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งในวันที่ 1 ธันวาคม 2536 ตลอดเวลาของการทำงานผมเฝ้าตรวจสอบตัวเลขเสมอ ผมมีตัวเลขที่ต้องทำค่านายหน้าในปีที่ 3 นี้ไม่น้อยกว่า 400,000 บาท เป็นตัวเลขที่ต้องทำเพื่อสร้างคุณวุฒิของบริษัท เพื่อสร้างเกียรติประวัติการทำงานให้กับตนเอง เป็นตัวอย่างให้กับรุ่นน้องๆที่จะเดินตามเข้ามาร่วมงานกับผมในอนาคต แล้วยังมีตัวเลขที่ต้องทำในช่วงทดลองงาน 3 เดือนสุดท้ายก่อนมีการเลื่อนตำแหน่งอีก แล้วงานในปีนี้ผมต้องสร้างคนด้วยตนเอง ชักชวนคนเข้ามาร่วมทีมงาน สอนพวกเขาให้ทำงานให้เป็น สร้างผลผลิตให้ครบตามข้อกำหนด ต้องดูแลลูกค้าเก่า ต้องดูแลครอบครัว ต้องดูแลตัวเอง ผมจะทำได้หรือไม่ ? ....ไม่มีคำตอบอย่างอื่น นอกจากคำตอบเดียวที่ว่า.... “ผมต้องทำให้ได้”


         ชีวิตปัจจุบัน กับความมุ่งมั่นเต็มรูปแบบ
         www.aiapdt.com
ขอขอบคุณสำหรับการติดตาม
ตอนต่อไปเชิญคลิ๊ก